ออโรรา (ตัวละครดิสนีย์)
ออโรรา | |
---|---|
ตัวละครใน 'เจ้าหญิงนิทรา' | |
ออโรราขณะที่เธอปรากฏตัวในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา (1959) โดยสวมชุดราตรีบอลกาวน์สีน้ำเงินที่สามารถเปลี่ยนสีได้ | |
ปรากฏครั้งแรก | เจ้าหญิงนิทรา (1959) |
สร้างโดย |
|
แสดงโดย | แอลล์ แฟนนิง (มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ & มาเลฟิเซนต์: นางพญาปีศาจ) เอเลนอร์ เวิร์ตธิงตัน ค็อกซ์ (อายุ 8 ขวบ) (มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ) วิเวียน โจลี-พิตต์ (อายุ 5 ขวบ) (มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ) |
ให้เสียงโดย |
|
เค้าโครงจาก | ไบรเออร์ โรส จากเทพนิยายของชาร์ล แปโร |
ข้อมูลตัวละครในเรื่อง | |
ชื่อเล่น | เจ้าหญิงนิทรา ไบรเออร์ โรส (นามแฝง) |
ตำแหน่ง | เจ้าหญิง, ราชินี (มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ) |
สังกัด | เจ้าหญิงดิสนีย์ |
ครอบครัว |
|
คู่สมรส | เจ้าชายฟิลลิป |
บุตร | เจ้าหญิงออเดรย์ (เดสเซนแดนต์ส) |
ญาติ |
|
สัญชาติ | ฝรั่งเศส |
ออโรรา (อังกฤษ: Aurora) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เจ้าหญิงนิทรา (อังกฤษ: Sleeping Beauty) หรือ ไบรเออร์ โรส (อังกฤษ: Briar Rose)[1][2][3] เป็นตัวละครที่ปรากฏในภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 16 ของวอลต์ดิสนีย์โปรดักชันส์เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (1959) ออโรราเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวของพระเจ้าสเตฟานและพระราชินีลีอาห์ พากย์เสียงโดยนักร้อง แมรี คอสตา ในวันประสูติ เทพธิดาผู้ชั่วร้ายนาม มาเลฟิเซนต์ แก้แค้นที่มิได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีศีลล้างบาปของออโรรา ด้วยการสาปเจ้าหญิงที่เพิ่งประสูติให้ทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีแล้วสิ้นพระชนม์ก่อนตะวันลับฟ้าในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่สิบหก เมอร์รีเวทเทอร์ หนึ่งในสามนางฟ้าใจดี อำนวยพรบรรเทาคำสาป ช่วยให้ออโรรานั้นเพียงแค่บรรทมไป ด้วยความหวังว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น นางฟ้าแสนดีทั้งสามองค์จึงรับเลี้ยงออโรราตามวิถีชาวไร่ และอดทนรอวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่สิบหกของออโรรา นั่นคือวันที่คำสาปจะถูกถอนด้วยการจุมพิตจากผู้เป็นรักแท้ ซึ่งก็คือเจ้าชายฟิลลิปนั่นเอง
ออโรราสร้างจากเจ้าหญิงในเทพนิยายของชาร์ล แปโรเรื่อง "เจ้าหญิงนิทรา" รวมถึงนางเอกที่ปรากฏในนิทานเรื่อง "แม่กุหลาบป่า" ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เป็นเวลาหลายปีที่วอลต์ ดิสนีย์พยายามดิ้นรนหานักแสดงที่เหมาะสมมาพากย์เสียงเจ้าหญิง และเกือบจะละทิ้งภาพยนตร์เรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งนักแต่งเพลงวอลเตอร์ ชูมันน์ ได้พบกับคอสตา อย่างไรก็ตาม สำเนียงทางใต้ของคอสตาเกือบจะทำให้เธอต้องเสียบทบาทนี้ไป จนกว่าเธอจะพิสูจน์ได้ว่าเธอสามารถรักษาสำเนียงอังกฤษไว้ได้ตลอดระยะเวลาของเรื่อง เพื่อที่รองรับเบื้องหลังที่มีรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของภาพยนตร์ การออกแบบอย่างประณีตของออโรราจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่เคยใช้กับตัวละครแอนิเมชันเรื่องก่อน ๆ โดยนักสร้างแอนิเมชันได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์นูโว แอนิเมชันที่สร้างโดยมาร์ก เดวิสนั้นมีรูปร่างเพรียว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักแสดงออดรีย์ เฮปเบิร์น ด้วยบทสนทนาเพียง 18 บรรทัดและเวลาฉายหน้าจอเพียงไม่กี่นาที ตัวละครนี้จึงพูดได้น้อยกว่าตัวละครหลักที่พูดได้ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวของดิสนีย์
เมื่อเจ้าหญิงนิทราออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความล้มเหลวทั้งในเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเชิงพาณิชย์ ทำให้สตูดิโอท้อใจจากการนำเทพนิยายมาสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันมานานถึงสามทศวรรษ ออโรราเองก็ได้รับคำวิจารณ์เชิงลบจากทั้งภาพยนตร์และนักวิจารณ์สตรีนิยมในเรื่องความเฉยเมยและความคล้ายคลึงกับสโนว์ไวต์ และยังคงเป็นเจ้าหญิงคนสุดท้ายของดิสนีย์จนแอเรียลจากเรื่องเงือกน้อยผจญภัยจะเปิดตัวในอีก 30 ปีต่อมาในปี ค.ศ. 1989 อย่างไรก็ตาม การขับร้องของคอสตาได้รับเสียงคำชม ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอทำอาชีพอย่างจริงจังในฐานะนักร้องโอเปร่าจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตามลำดับเวลาออโรราคือเจ้าหญิงดิสนีย์คนที่สาม แอลล์ แฟนนิง ได้แสดงบทออโรราในฉบับคนแสดงจากเรื่อง มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ (2014) ซึ่งเป็นการเล่าถึงภาพยนตร์แอนิเมชันปี ค.ศ. 1959 เรื่องเจ้าหญิงนิทราจากมุมมองของตัวละครในชื่อเรื่อง แฟนนิงกลับมารับบทออโรราอีกครั้งใน มาเลฟิเซนต์: นางพญาปีศาจ (2019) ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นในอีกห้าปีต่อมา
ลักษณะและรูปแบบ[แก้]
ออโรราเป็นหนึ่งในไตรเฟกตาที่เรียกว่า "ยุคทอง" ของนางเอกดิสนีย์ นอกจากสโนว์ไวต์และซินเดอเรลล่าผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้สองคนแล้ว ออโรรายังเป็นหนึ่งในสามเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคดั้งเดิมอีกด้วย[4] คิต สไตน์เคลเนอร์ จากสื่อเฮลโลกิกเกิลส์เขียนไว้ว่าออโรรายังคงดำเนินต่อไปใน "กระแสของนางเอกผู้เฉื่อยชาที่รอเวทมนตร์มาเปลี่ยนชีวิต" ซึ่งเป็นหัวข้อที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ได้รับการแนะนำทั้งในระหว่างและก่อนคริสต์ศักราช 1950[5] โซเนีย ซาริยา จากสื่อเนเวอร์ ขนานนามออโรราว่า "จุดสูงสุด" ของ "ผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกให้กับตนเอง"[6] บทความจากเอ็มทีวี ลอเรน วิโนรู้สึกว่าตัวละครนี้ "ดำเนินตามผู้เช่าเจ้าหญิงขั้นพื้นฐานที่รักสัตว์และนอนหลับในการแต่งหน้า"[7] ในขณะที่ เดวิด นูแซร์ จากอะเบาต์.คอม เขียนว่าออโรราทำตาม "แบบฉบับเจ้าหญิงผู้ใจดีแต่ไร้หนทาง" คล้ายกับสโนว์ไวต์และซินเดอเรลล่า แมรี เกรซ การิส จากบัสเติล ตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสามคนในยุคดั้งเดิม "แสวงหาการแต่งงานซึ่งเป็นทั้งจุดจบและความรอดของพวกเธอ" โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า "แท้จริงแล้วมันเป็นหนทางหลบหนีของพวกเธอเอง และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของพวกเธอเท่านั้น"[4] อย่างไรก็ตาม ความฝันและจินตนาการของออโรรานั้น แตกต่างในแง่ที่ว่าพวกเขาถูกดึงออกมาจากความเหงาและความโดดเดี่ยว ตัวละครนี้โหยหา "ความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่นอกเหนือจากแม่ตัวแทนนางฟ้าทั้งสามของเธอ"[8] ลูคัส โอ. ซีสตรอม อาสาสมัครจากพิพิธภัณฑ์ครอบครัววอลต์ดิสนีย์เห็นพ้องกันว่าออโรรานั้น "มั่นใจในตัวเอง" มากกว่า และ "มีความสงบสุขมากกว่าความไร้เดียงสาตามปกติของนางเอกดิสนีย์"[9] เมื่อสังเกตว่าการกระทำของออโรราได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจและความคิดเห็นของคนรอบข้าง ในขณะที่ผลส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าชายฟิลลิป สไตน์เคลเนอร์จึงพูดติดตลกว่าตัวละครตัวนี้นิ่งเฉยมากจนเธอยังคงหลับใหลในช่วงไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้[5] โดยขนานนามเธอว่า "หญิงสาวแห่งปฏิกิริยา" ลิซา เคย์ คันนิงแฮม จากเนอร์ดอโลจี.โออาร์จี รู้สึกว่า "เวลาอยู่หน้าจอเพียงเล็กน้อยทำให้เธอยากต่อการจำแนกว่าเป็นสตรีนิยม แต่การตัดสินใจที่กระตือรือร้นเพียงครั้งเดียวของเธอแสดงให้เห็นถึงความหวังที่ยิ่งใหญ่ในวิวัฒนาการของเจ้าหญิงดิสนีย์ที่เป็นสตรีนิยม" แม้ความจริงที่ว่าต้นสังกัดของเธอถูกบ่อนทำลายโดยตัวละครอื่นอยู่ตลอดเวลา[10] คันนิงแฮมสรุปว่า "ด้วยการตัดสินใจที่จะพยายามทำตามความฝันของเธอ เจ้าหญิงคนนี้ได้ก้าวไปข้างหน้าในฐานะสตรีนิยมที่แข็งแกร่งกว่าสโนว์ไวต์ แม้ว่าออโรราจะยังคงจมอยู่กับปฏิกิริยาโต้ตอบก็ตาม"[10] ผู้เขียน เมลิสซา จี. วิลสัน ตั้งข้อสังเกต ในหนังสือของเธอ มาสอัพส์ฟอร์ทีนส์: ฟรอมสลีปปิงบิวตีทูบียอน ปฏิกิริยาของออโรราเมื่อรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหญิงนั้นแตกต่างไปจากสิ่งที่เราคาดหวังจากหญิงสาว[11]
การปรากฏตัว[แก้]
ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์[แก้]
ออโรราปรากฏตัวครั้งแรกในเจ้าหญิงนิทรา ในฐานะพระราชธิดาพระองค์เดียวของพระเจ้าสเตฟานและพระราชินีลีอาห์ ขณะประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนของพระองค์ มาเลฟิเซนต์ (Maleficent)เทพธิดาใจร้าย ปรากฏกายด้วยความโกรธมากที่ไม่ได้รับเชิญมาในพระราชพิธีนี้ เมื่อมาแล้วนางก็สาปให้พระกุมารีทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีและสิ้นพระชนม์ก่อนตะวันยอแสงในวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษา แล้วมาเลฟิเซนต์ก็อันตรธานไป เมอร์รีเวทเทอร์ หนึ่งในสามนางฟ้าใจดี ที่ยังมิได้ประทานพรให้แก่พระกุมารีจึงบรรเทาคำสาปของมาเลฟิเซนต์เป็นว่า เจ้าหญิงออโรราจะเพียงบรรทมไป และจะเสด็จจากบรรทมก็ต่อเมื่อทรงได้รับการจุมพิตด้วยรักแท้
นางฟ้าสามองค์ คือ ฟลอรา (Flora), โฟนา (Fauna) และเมอร์รีเวทเธอร์ ช่วยกันซ่อนพระราชธิดาเอาไว้ในป่าจนกว่าจะพ้นวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษา เพื่อป้องปัดมิให้คำสาปของมาเลฟิเซนต์เกิดกับเจ้าหญิงได้ ครั้นเจ้าหญิงออโรราใกล้เจริญพระชันษาที่สิบหก ก็เสด็จไปพบเจ้าชายรูปงามพระนามว่า ฟิลลิป (Phillip) ทั้งสองมีใจปฏิพัทธ์กันในบัดดล เจ้าชายฟิลลิปทรงให้คำมั่นว่าจะเสด็จกลับมาหาออโรราให้จงได้ ทว่า นางฟ้าทั้งสามรุดมาแถลงว่า แท้จริงแล้ว ออโรราเป็นพระธิดาของพระเจ้าสเตฟาน และต้องทรงอภิเษกกับเจ้าชายผู้เป็นคู่หมั้นเท่านั้น โดยที่เหล่านางฟ้าไม่รู้ว่า เจ้าชายคู่หมั้นนั้นคือฟิลลิปเอง หลังจากเสด็จมาสู่วัง มาเลฟิเซนต์จึงมาหาพระราชธิดาในเย็นวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษานั้นเอง และล่อลวงให้ทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายทิ่มพระดัชนีสลบไปในหอคอยเปลี่ยว
นางฟ้าทั้งสามช่วยกันเสกให้ทั้งอาณาจักรหลับไปจนกว่าเจ้าหญิงจะเสด็จจากบรรทม ทางฝ่ายมาเลฟิเซนต์จึงจับเจ้าชายฟิลลิป ไปขังไว้ในบรรพตต้องห้าม (Forbidden Mountains) อันเป็นที่พำนักของนาง แต่นางฟ้าทั้งสามมาช่วยเจ้าชายออกจากที่คุมขังได้ ความทราบถึงมาเลฟิเซนต์ นางจึงพยายามขัดขวางมิให้เจ้าชายไปถึงปราสาทที่พระราชธิดาบรรทมอยู่ โดยบันดาลให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น สายฟ้า และป่าหนาม แต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงจำแลงกายเป็นมังกรมหึมาเข้าประจันหน้ากับเจ้าชาย ขณะที่เจ้าชายกำลังเพลี่ยงพล้ำและใกล้ถึงความตายนั้นเอง นางฟ้าทั้งสามรวมอำนาจแห่งความดีเสกเป่ากระบี่ของเจ้าชายให้มีฤทธิ์ แล้วเจ้าชายโยนกระบี่นั้นไปปักหัวใจมังกรจนตกลงจากที่ยืนลงสู่หุบเหวเบื้องล่างถึงแก่ความตาย หลังจากนั้น เจ้าชายฟิลลิปก็ทรงบรรจงจุมพิตออโรรา ฉับพลัน ออโรราทรงตื่นขึ้นจากบรรทม ทุกคนในอาณาจักรก็ตื่นขึ้นเช่นกัน ออโรราได้อภิเษกสมรสกับฟิลลิป และทรงพบกับพระบิดาและพระมารดาอีกครั้ง
ใน มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ (2014) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดงที่สร้างจากภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา โดยเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวร้าย แอลล์ แฟนนิง รับบทเป็นออโรรา[12] ส่วนเจเน็ต แมคเทียร์ รับบทเป็นผู้บรรยาย ซึ่งก็คือออโรราในบั้นปลายพระชนม์[13]
ขณะที่เพิ่งประสูติ มาเลฟิเซนต์ได้สาปให้เจ้าหญิงออโรราทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีแล้วบรรทมไปตลอดกาล มีเพียงจุมพิตจากรักแท้ที่แก้คำสาปได้... เพื่อแก้แค้นพระเจ้าสเตฟาน พระราชบิดาของออโรราเคยทรยศต่อนาง นางฟ้าทั้งสามได้รับมอบหมายให้รับเลี้ยงพระธิดาไว้ในป่าจนกว่าจะลุวันเฉลิมพระชนม์ปีที่สิบหก แต่นางฟ้าทั้งสามนั้นสะเพร่า มิได้เอาใจใส่พระธิดาตามสมควร เพราะเกรงว่าออโรราจะสิ้นพระชนม์ก่อนจะถึงวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษา นางฟ้าทั้งสามนั้นสะเพร่า มิได้เอาใจใส่พระธิดาตามสมควร มาเลฟิเซนต์จึงมาปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่าง แม้จะจงเกลียดจงชังพระเจ้าสเตฟานมากก็ตาม โดยมีนกกาของนาง เดียวัล คอยช่วยเหลือ ครั้นพระธิดาเจริญพระชันษาที่สิบห้า ก็เสด็จไปพบมาเลฟิเซนต์ ทรงให้รู้สึกเสมือนว่า มาเลฟิเซนต์เฝ้าคุ้มครองป้องกันพระองค์เสมอมา จึงทรงเชื่อว่า มาเลฟิเซนต์เป็น "นางฟ้าแม่ทูนหัว" (Fairy Godmother) ของพระองค์ มาเลฟิเซนต์เองเมื่อให้พระธิดาพำนักอยู่กับตนนานเข้า ก็เริ่มตระหนักว่า ตนรักพระธิดามากเพียงไร นางจึงพยายามเพิกถอนคำสาปให้ แต่ไร้ผล
ภายหลัง ออโรราพบเจ้าชายรูปงามพระนามว่า ฟิลลิป ทั้งสองมีใจปฏิพัทธ์กันในบัดดล เจ้าชายฟิลลิปทรงให้คำมั่นว่าจะเสด็จกลับมาหาออโรราให้จงได้ ต่อมาเมื่อวันเฉลิมพระชนม์ปีที่สิบหกมาถึง ออโรรายังทรงพอพระทัยจะอยู่กับมาเลฟิเซนต์มากกว่าจะเสด็จกลับเมืองมนุษย์ มาเลฟิเซนต์เองก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น คิดว่า คงช่วยป้องปัดมิให้คำสาปสัมฤทธิ์ผลได้ ทว่า นางฟ้าทั้งสามรุดมาแถลงว่า เป็นมาเลฟิเซนต์ที่สาปออโรรามาแต่พระเยาว์ ออโรราทรงฟังแล้วก็พระทัยสลาย เสด็จหนีมาเลฟิเซนต์คืนสู่วังพระบิดา พระเจ้าสเตฟานทรงขังออโรราไว้ในวังจนกว่าวันเฉลิมพระชนม์จะพ้นไป กระนั้น ออโรราเสด็จไปพบเครื่องปั้นฝ้ายที่ริบไว้แต่เดิม และทรงถูกเข็มตำนิ้วพระหัตถ์ คำสาปเป็นอันบรรลุผล มาเลฟิเซนต์เสียใจที่ไม่อาจปกป้องพระธิดาได้ จึงลอบพาเจ้าชายฟิลลิปมาสู่วัง เจ้าชายฟิลลิปทรงบรรจงจุมพิตออโรรา แต่ว่าไม่เป็นผล มาเลฟิเซนต์ก็ทุกข์ทนทวีคูณ จึงปวารณาจะพิทักษ์รักษาพระธิดาจากเภทภัยทั้งหลายจนกว่าจะเสด็จจากบรรทม กล่าวแล้วก็จุมพิตพระนลาฏพระธิดาด้วยความรัก ฉับพลัน พระธิดาทรงตื่นจากพระบรรทม มาเลฟิเซนต์จึงเข้าใจว่า รักใดในโลกนี้ก็ไม่จริงแท้เท่ารักที่แม่มีให้ลูก พระธิดาทรงเรียกขานมาเลฟิเซนต์ว่า "แม่ทูนหัว" ด้วยทรงซาบซึ้งถึงความรักประหนึ่งมารดาที่มาเลฟิเซนต์มีให้ และทรงอภัยมาเลฟิเซนต์ในทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
เจ้าหญิงออโรรายังทรงปรารถนาจะกลับไปอยู่กับมาเลฟิเซนต์ในเมืองทิพย์ มาเลฟิเซนต์จึงพาเสด็จหนี ทว่า พระเจ้าสเตฟานเสด็จมาขวางและทรงใช้ข่ายเหล็กจับมาเลฟิเซนต์ไว้ได้ แล้วทหารของพระองค์พร้อมด้วยศัสตราวุธทำด้วยเหล็กกล้าจึงเตรียมฆ่านาง ในโมงยามที่มาเลฟิเซนต์กำลังจะถูกประหารนั้นเอง เจ้าหญิงออโรราถอดปีกของมาเลฟิเซนต์ที่รักษาไว้ในคุกออกมาคืนให้ มาเลฟิเซนต์จึงได้ฟื้นฤทธานุภาพโดยบริบูรณ์ และเอาชนะพระเจ้าสเตฟานได้ มาเลฟิเซนต์ละเว้นพระชนม์โดยขอให้เลิกรากันเท่านี้ ก่อนที่นางจะพาพระธิดาบินจากไป ทว่า พระเจ้าสเตฟานไม่ทรงยอมแพ้ ทรงโผนไปเกาะมาเลฟิเซนต์ไว้ มาเลฟิเซนต์ทรงตัวไว้ได้ แต่พระเจ้าสเตฟานนั้นทรงพลัดตกลงสู่เบื้องล่างถึงแก่พระชนมชีพ ครั้นแล้ว ออโรราก็เสด็จขึ้นเป็นราชินีแห่งอาณาจักรมนุษย์และเมืองทิพย์ที่เรียกว่า เดอะมัวร์ส (The Moors)
อื่น ๆ[แก้]
นักแสดงที่แต่งตัวเป็นออโรราปรากฏตัว "เป็นประจำ" ในสถานที่ยอดนิยมหลายแห่งในสวนสนุกและรีสอร์ตของวอลต์ดิสนีย์ โดยเฉพาะเอ็ปคอตฟรานซ์พาวิลเลียน ในวอลต์ดิสนีย์เวิลด์,[14] ซินเดอเรลลารอยัลเทเบิล, ขบวนพาเหรดดิสนีย์ดรีมคัมทรู และโถงเทพนิยายเจ้าหญิงในแมจิกคิงดอม,[15][16] พรินเซสมีตเอ็นกรีตในแฟนตาซีแลนด์ที่ดิสนีย์แลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย, แฟนตาซีแลนด์พรินเซสพาวิลเลียน และซินเดอเรลล่าอินน์ที่ดิสนีย์แลนด์ปารีส, แฟนตาซีแลนด์และเวิลด์บาซาร์ที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ และวิชชิงเวลล์ที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์[17] รวมไปถึงการปรากฏตัวเป็นตัวละครที่สามารถเล่นได้ในวิดีโอเกม ดิสนีย์แมจิกคิงดอมส์[18]
เครื่องหมายการค้า[แก้]
ปัจจุบัน บริษัทวอลต์ดิสนีย์ มีเครื่องหมายการค้ากับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2007 สำหรับชื่อ "เจ้าหญิงออโรรา" ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตและการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ การผลิตรายการโทรทัศน์ การผลิตบันทึกเสียงและวิดีโอ[19] สิ่งนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งเนื่องจาก "เจ้าหญิงออโรรา" เป็นชื่อของตัวละครนำในเรื่อง เดอะสลีปปิงบิวตีบัตเลต์ ซึ่งดิสนีย์ได้รับชื่อและเพลงบางส่วนสำหรับภาพยนตร์แอนิเมชัน และมีการแสดงสดบนเวทีและบางครั้งก็แสดงทางโทรทัศน์ และมักจะจำหน่ายในภายหลังโดยเป็นการแสดงที่บันทึกไว้ในวิดีโอ[20] โดยเครื่องหมายการค้าได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2012[19]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Biedenharn, Isabella (March 9, 2017). "Disney Heroines Through the Years". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ July 3, 2018.
Princess Aurora (a.k.a. Sleeping Beauty, Briar Rose) sure has a lot of aliases.
- ↑ Brode, Douglas; Brode, Shea T, บ.ก. (April 29, 2016). "Upon a Dream Once More". Debating Disney: Pedagogical Perspectives on Commercial Cinema. United States: Rowman & Littlefield. p. 193. ISBN 978-1442266094 – โดยทาง Google Books.
- ↑ "Sleeping Beauty (1959) – Full Credits". Turner Classic Movies. สืบค้นเมื่อ August 8, 2018.
Princess Aurora, also known as Briar Rose
- ↑ 4.0 4.1 Garis, Mary Grace (October 24, 2014). "From Snow White to Moana: The Evolution of the Adventurous Disney Princess". Bustle. สืบค้นเมื่อ January 16, 2016.
- ↑ 5.0 5.1 Steinkellner, Kit (November 11, 2014). "The evolution of the Disney princess—from dainty damsel to badass". HelloGiggles. HelloGiggles. สืบค้นเมื่อ January 22, 2016.
- ↑ Saraiya, Sonia (July 11, 2012). "Ranked: Disney Princesses From Least To Most Feminist". Nerve. This Life, Inc. สืบค้นเมื่อ February 12, 2016.
- ↑ Vino, Lauren (August 28, 2015). "The Ultimate Ranking Of The Best Disney Princesses Of All Time". MTV. สืบค้นเมื่อ February 8, 2016.
- ↑ "Natural Born Reviewers | Disney's Sleeping Beauty". Anibundel. 22 May 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 22, 2016. สืบค้นเมื่อ February 14, 2016.
- ↑ Seastrom, Lucas O. (August 4, 2014). "Marc Davis: Style & Compromise on Sleeping Beauty". Walt Disney Family Museum. สืบค้นเมื่อ January 21, 2016.
- ↑ 10.0 10.1 Cunningham, Lisa Kaye (April 2, 2014). "The Truth About Feminism and Disney Princesses". nerdology.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ February 10, 2016.
- ↑ Wilson, Melissa G (2015). Mashups for Teens: From Sleeping Beauty to Beyonce. United States: Networlding. ISBN 9780997351835 – โดยทาง Google Books.
- ↑ Miller, Julie (June 2, 2014). "Maleficent's Costume Designer on De-Sexualizing Elle Fanning's Disney Princess". Vanity Fair. สืบค้นเมื่อ April 4, 2016.
- ↑ Simanjuntak, Tertiani ZB (June 8, 2014). "'Maleficent' reaches higher ground for Disney revisionists". The Jakarta Post. Niskala Media Tenggara. สืบค้นเมื่อ April 4, 2016.
- ↑ "HOW TO MEET EVERY PRINCESS IN WALT DISNEY WORLD WITH NO STRESS". Kenny the Pirate. August 14, 2014. สืบค้นเมื่อ May 9, 2016.
- ↑ "Where to Find Sleeping Beauty in Disney World". EverythingMouse. EverythingMouse Guide To Disney. December 2, 2011. สืบค้นเมื่อ May 9, 2016.
- ↑ Anderson, Corrine (July 1, 2016). "VIDEO: Princess Tiana and Aurora return to Princess Fairytale Hall at Magic Kingdom". Inside the Magic. สืบค้นเมื่อ July 17, 2016.
- ↑ "Princess Aurora". Disney Characters Central. CharacterCentral.net. สืบค้นเมื่อ May 8, 2016.
- ↑ "Update 1: Sleeping Beauty | Trailer". YouTube. May 6, 2016.
- ↑ 19.0 19.1 "US Patent and Trademark Office – Princess Aurora trademark status". สืบค้นเมื่อ July 8, 2013.
- ↑ Finke, Nikki (1 May 2009). "An Attempt To Stop The Disney Machine". Deadline Hollywood. สืบค้นเมื่อ 25 April 2016.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- ออโรรา ที่ดิสนีย์.คอม